M

CONTACT

Bluebirdmedia Co.,Ltd.

425/160 Charoen Pattana Road, Bang Chan, Khlong Samwa, Bangkok, 10510

linid

Hotline: 090 3393170

Head Office : 02 1365946

Corporate Video

อย่าให้ราคาลวงตา: เลือกครีเอทีฟทำ Corporate Video อย่างไรให้แบรนด์ปัง ไม่ใช่พัง

ในยุคที่คอนเทนต์วิดีโอคือหัวใจสำคัญของการตลาด การมี “Corporate Video” หรือวิดีโอองค์กร ไม่ใช่เพียงทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือจำเป็นในการสร้างการรับรู้ สร้างความน่าเชื่อถือ และสื่อสารตัวตนของแบรนด์ไปสู่กลุ่มเป้าหมาย แต่ทว่า โจทย์ที่ท้าทายสำหรับหลายองค์กรคือการตัดสินใจเลือกระหว่าง “ครีเอทีฟมือใหม่” ที่เสนอราคาเย้ายวนใจ กับ “ครีเอทีฟมืออาชีพ” ที่มาพร้อมกับราคาที่สูงกว่า

หลายครั้งที่การตัดสินใจเลือกเพราะ “ราคาถูกกว่า” กลับกลายเป็นฝันร้ายที่ย้อนกลับมาทำลายความน่าเชื่อถือของแบรนด์อย่างประเมินค่าไม่ได้ บทความนี้จะเจาะลึกถึงความแตกต่างที่แท้จริงระหว่างครีเอทีฟสองระดับนี้ เพื่อให้คุณตัดสินใจเลือกผู้ผลิตวิดีโอองค์กรได้อย่างเฉียบคม และเปลี่ยนงบประมาณให้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับแบรนด์ของคุณ

ความแตกต่างที่ลึกกว่าแค่ฝีมือและราคา

การประเมินครีเอทีฟไม่ได้จบอยู่แค่ผลงานที่สวยงามในพอร์ตโฟลิโอหรือใบเสนอราคาที่ถูกที่สุด แต่มันคือความแตกต่างในแก่นความคิด กระบวนการทำงาน และความเข้าใจในเชิงกลยุทธ์ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นข้อๆ ได้ดังนี้

1. การคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic Thinking) vs. การทำตามโจทย์ (Task-based Execution)

  • ครีเอทีฟมือใหม่: มักจะเริ่มต้นจากการถามว่า “อยากได้วิดีโอแบบไหน?” และพยายามทำตามคำสั่งของลูกค้าให้ดีที่สุด พวกเขามองว่าหน้าที่คือการ “ผลิตวิดีโอ” ให้เสร็จสิ้นตามที่ได้รับมอบหมาย ผลลัพธ์ที่ได้อาจเป็นวิดีโอที่ดูสวยงาม แต่ขาดหัวใจสำคัญในการตอบโจทย์ทางธุรกิจ ไม่สามารถเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแท้จริง

  • ครีเอทีฟมืออาชีพ: จะเริ่มต้นด้วยคำถาม “ทำไม?” พวกเขาจะเจาะลึกถึงเป้าหมายทางธุรกิจ (Business Objective) ของคุณเสียก่อน วิดีโอนี้สร้างขึ้นเพื่ออะไร? เพื่อสร้างการรับรู้ (Awareness), เพิ่มยอดขาย (Sales), หรือสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน (Investor Relations)? กลุ่มเป้าหมายคือใคร? และอะไรคือข้อความหลัก (Key Message) ที่ต้องสื่อสารออกไป? พวกเขามองว่า Corporate Video คือ “เครื่องมือทางธุรกิจ” ชิ้นหนึ่งที่ต้องถูกออกแบบมาอย่างมีกลยุทธ์เพื่อผลลัพธ์ที่วัดผลได้

ผลกระทบต่อแบรนด์: วิดีโอจากมือใหม่อาจเป็นแค่ภาพเคลื่อนไหวสวยๆ ที่ผู้ชมดูแล้วก็ลืมไป แต่วิดีโอจากมืออาชีพคือเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลัง สามารถสร้างผลกระทบและกระตุ้นให้เกิดการกระทำที่แบรนด์ต้องการได้


2. การเล่าเรื่อง (Storytelling) vs. การเรียงร้อยภาพ (Montage)

  • ครีเอทีฟมือใหม่: มักจะนำเสนอเรื่องราวแบบเส้นตรง ง่ายๆ เช่น การนำภาพฟุตเทจของออฟฟิศ ผู้บริหาร และพนักงาน มาตัดต่อรวมกันภายใต้เพลงประกอบที่น่าตื่นเต้น ซึ่งมักจะขาดมิติทางอารมณ์และโครงเรื่องที่น่าติดตาม

  • ครีเอทีฟมืออาชีพ: เข้าใจดีว่าหัวใจของวิดีโอที่น่าจดจำคือ “เรื่องราว” พวกเขาสามารถถักทอข้อมูลขององค์กร วัฒนธรรม และวิสัยทัศน์ ให้ออกมาเป็นเรื่องเล่าที่มีโครงสร้าง มีจุดเริ่มต้น จุดขัดแย้ง และจุดคลี่คลาย สามารถสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ (Emotional Connection) กับผู้ชม ทำให้วิดีโอของคุณไม่ใช่แค่การ “รายงาน” แต่เป็นการ “สื่อสาร” ที่เข้าไปนั่งในใจของผู้ชมได้

ผลกระทบต่อแบรนด์: วิดีโอที่ไม่มีเรื่องเล่าก็เหมือนกับคนไม่มีชีวิตชีวา มันไม่สามารถสร้างความแตกต่างหรือความน่าจดจำได้ ในทางกลับกัน เรื่องราวที่ดีจะทำให้แบรนด์ของคุณมีตัวตน มีบุคลิก และน่าเชื่อถือมากขึ้นอย่างมหาศาล


3. กระบวนการทำงานและความเป็นมืออาชีพ (Process & Professionalism)

  • ครีเอทีฟมือใหม่: อาจไม่มีกระบวนการทำงานที่ชัดเจน การสื่อสารอาจล่าช้า ไม่มีการวางแผนงานที่เป็นระบบ ทำให้ลูกค้าต้องคอยติดตามทวงถามอยู่เสมอ และอาจเจอปัญหา “งบบานปลาย” เพราะไม่มีการตกลงขอบเขตงานที่ชัดเจนตั้งแต่ต้น

  • ครีเอทีฟมืออาชีพ: จะมีกระบวนการทำงานที่เป็นขั้นเป็นตอนและโปร่งใส ตั้งแต่การทำความเข้าใจโจทย์ (Briefing), การนำเสนอแนวคิด (Concept Proposal), การเขียนบท (Scripting), การวางแผนการถ่ายทำ (Pre-Production), การถ่ายทำ (Production) ไปจนถึงขั้นตอนหลังการถ่ายทำ (Post-Production) ที่มีการกำหนดรอบการแก้ไขที่ชัดเจน ทำให้ลูกค้าเห็นภาพรวมทั้งหมด สามารถควบคุมงบประมาณและเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลกระทบต่อแบรนด์: การทำงานกับมือใหม่ที่ขาดความเป็นระบบอาจสร้างความเครียดและเสียเวลาให้กับทีมงานของคุณ ในขณะที่การทำงานกับมืออาชีพจะมอบประสบการณ์ที่ราบรื่นและเป็นเหมือนการมี “พาร์ทเนอร์” ที่ช่วยให้โปรเจกต์สำเร็จลุล่วงด้วยดี

ก่อนตัดสินใจเลือก… ถามตัวเองและพวกเขาด้วยคำถามเหล่านี้

เมื่อคุณต้องเลือกระหว่างข้อเสนอราคาถูกกับคุณภาพที่ยั่งยืน ลองใช้แนวทางนี้ในการพิจารณา:

  1. ดูผลงานให้ลึกกว่าแค่ความสวย: ถามเขาว่า “วิดีโอชิ้นนี้มีเป้าหมายเพื่ออะไร และผลลัพธ์ที่ได้เป็นอย่างไร?” มืออาชีพจะสามารถอธิบายเบื้องหลังแนวคิดและผลสำเร็จของงานได้
  2. ทดสอบความเข้าใจในแบรนด์ของคุณ: ลองเล่าเรื่องแบรนด์และเป้าหมายของคุณ แล้วถามเขากลับว่า “คุณมีแนวคิดเบื้องต้นที่จะนำเสนอเรื่องราวของเราอย่างไร?” คำตอบของพวกเขาจะสะท้อนความใส่ใจและมุมมองเชิงกลยุทธ์ได้เป็นอย่างดี
  3. สอบถามเกี่ยวกับกระบวนการทำงาน: ขอให้เขาอธิบายขั้นตอนการทำงานตั้งแต่ต้นจนจบ มีการกำหนดรอบแก้ไขอย่างไร? มีการทำสัญญาที่ชัดเจนหรือไม่?
  4. อย่ากลัวที่จะลงทุน: ให้มองว่า Corporate Video คือการลงทุนในทรัพย์สินของแบรนด์ (Brand Asset) ไม่ใช่ค่าใช้จ่าย (Expense) การเลือกของถูกที่ใช้งานไม่ได้จริง คือการสูญเสียงบประมาณไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่การลงทุนกับมืออาชีพ คือการสร้างทรัพย์สินที่จะทำงานให้กับแบรนด์ของคุณไปอีกนานแสนนาน

สุดท้ายนี้ การตัดสินใจเลือกผู้ผลิต Corporate Video ไม่ใช่การมองหาคนที่ใช้กล้องเป็น แต่คือการมองหา “พาร์ทเนอร์เชิงกลยุทธ์” ที่สามารถแปลภาษาธุรกิจให้ออกมาเป็นภาพและเรื่องเล่าที่ทรงพลังได้ การประหยัดเงินในวันนี้ อาจต้องแลกมาด้วยต้นทุนของความน่าเชื่อถือที่ประเมินค่าไม่ได้ในวันข้างหน้า ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ไม่มีแบรนด์ไหนอยากให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

 

 

 

Spread the love